ปวดฟัน ฟันโยก ทำไงดี? สาเหตุ อาการ และแนวทางรักษาที่ควรรู้

ปวดฟัน ฟันโยก ทำไงดี? อาการปวดฟันร่วมกับฟันที่เริ่มโยก มักเป็นสัญญาณว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเนื้อเยื่อหรือโครงสร้างที่ยึดฟันไว้ในช่องปาก ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เหงือกอักเสบ การสะสมของคราบหินปูน หรือปัญหาการสบฟันที่ผิดตำแหน่ง หากปล่อยไว้นานอาจลุกลามจนฟันหลวมมากขึ้นและเสี่ยงต่อการสูญเสียฟันในที่สุด ดังนั้น การทำความเข้าใจต้นเหตุของปัญหาและเข้ารับการตรวจอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและคงสุขภาพช่องปากของคุณไว้ได้อย่างยาวนานค่ะ

ปวดฟัน ฟันโยก ทำไงดี? สัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพช่องปากที่ต้องรีบรักษา

สำหรับใครที่กำลังรู้สึกปวดฟันหรือสังเกตว่าฟันเริ่มโยกเล็กน้อยเวลารับประทานอาหาร อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาช่องปากที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ ฟันโยกในผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะฟันแท้ควรจะยึดแน่นกับกระดูกขากรรไกร หากฟันเริ่มขยับได้ นั่นอาจหมายถึงความผิดปกติของเหงือกหรือกระดูกที่รองรับฟัน ซึ่งควรเข้ารับการตรวจจากทันตแพทย์โดยเร็วที่สุด ในบทความนี้ หมอณัฐจาก Toothluck Dental Clinic จะพามาทำความเข้าใจสาเหตุของฟันโยก อาการที่ควรสังเกต และแนวทางรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพช่องปากได้อย่างถูกวิธีค่ะ

ฟันโยกเกิดจากอะไร? รวมสาเหตุที่พบบ่อยที่คนเจอปัญหาฟันโยกและปวดฟันต้องรู้

อาการฟันโยกในผู้ใหญ่มักไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ค่อย ๆ พัฒนาในช่วงระยะเวลาหนึ่งค่ะ การเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงจะช่วยให้สามารถรักษาและป้องกันได้อย่างถูกวิธี โดยสาเหตุที่อาจทำให้เกิดภาวะฟันโยกนั้นประกอบด้วย…

1. โรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ (Periodontitis)

นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการฟันโยกในผู้ใหญ่ค่ะ โรคปริทันต์เกิดจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์และหินปูน ทำให้เหงือกอักเสบและกระดูกที่รองรับฟันค่อย ๆ ถูกทำลาย เมื่อกระดูกถูกทำลายมาก ฟันจะสูญเสียฐานยึดที่มั่นคงจนเกิดการโยกในที่สุด ทั้งนี้ หากปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่รักษา ฟันอาจโยกมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นต้องถอนออก การขูดหินปูนและทำความสะอาดรากฟันเป็นวิธีสำคัญในการชะลอการลุกลามของโรคค่ะ

2. การสบฟันผิดปกติหรือแรงบดเคี้ยวเกินไป

บางคนมีปัญหาการสบฟันที่ไม่สมดุล หรือมีพฤติกรรมนอนกัดฟันโดยไม่รู้ตัว แรงบดเคี้ยวที่กระทำต่อฟันบางซี่มากเกินไปอาจทำให้เกิดแรงกดซ้ำ ๆ จนฟันโยกได้ค่ะ โดยเฉพาะผู้ที่ผ่านการจัดฟันหรือฟันสึกจากอายุ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขอาจทำได้โดยการปรับการสบฟัน หรือในบางกรณีทันตแพทย์อาจแนะนำให้ใช้เฝือกสบฟันเพื่อช่วยกระจายแรงกัดให้เหมาะสมขึ้นค่ะ

3. การกระแทกหรืออุบัติเหตุบริเวณช่องปาก

ในบางกรณี ฟันโยกอาจเกิดจากการได้รับแรงกระแทกโดยตรง เช่น ล้ม ฟันชน หรืออุบัติเหตุระหว่างเล่นกีฬา แรงกระแทกอาจทำให้เนื้อเยื่อรอบฟันบอบช้ำหรือเกิดการเคลื่อนของฟันจากเบ้ากระดูก ทั้งนี้ ในกรณีนี้ควรรีบไปพบทันตแพทย์ทันทีภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อให้หมอตรวจประเมินว่าเส้นประสาทหรือรากฟันได้รับความเสียหายหรือไม่ เพราะหากรักษาได้ทันเวลา ฟันยังมีโอกาสกลับมายึดแน่นได้ตามปกติค่ะ

4. ฟันผุหรือการติดเชื้อในรากฟัน

หากฟันผุลึกจนถึงโพรงประสาทฟัน อาจเกิดการติดเชื้อที่รากฟันจนกระทบต่อกระดูกโดยรอบ เมื่อกระดูกบริเวณนั้นถูกทำลาย ฟันจะสูญเสียความมั่นคงและเกิดการโยกค่ะ โดยอาการมักมาพร้อมกับความปวดตุบ ๆ หรือรู้สึกเสียวเวลารับประทานอาหารร้อนเย็น การรักษารากฟันโดยทันตแพทย์จะช่วยกำจัดเชื้อและรักษาฟันไว้ได้โดยไม่จำเป็นต้องถอนออกค่ะ

5. ฟันโยกในเด็กกับผู้ใหญ่ แตกต่างกันอย่างไร

ในเด็ก ฟันโยกเป็นเรื่องปกติเนื่องจากฟันน้ำนมใกล้หลุดเพื่อให้ฟันแท้ขึ้นแทน แต่ในผู้ใหญ่ หากฟันแท้โยกถือเป็นสัญญาณของความผิดปกติที่ต้องตรวจโดยทันตแพทย์ค่ะ ดังนั้น หากผู้ใหญ่มีอาการฟันโยก ไม่ควรคิดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะยิ่งปล่อยไว้นาน โอกาสรักษาให้กลับมายึดแน่นก็จะยิ่งน้อยลงค่ะ

ฟันโยกแบบไหนควรไปหาหมอ?

แม้ฟันโยกเพียงเล็กน้อยอาจไม่รู้สึกเจ็บในระยะแรก แต่หากมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบพบทันตแพทย์เพื่อประเมินสภาพฟันและกระดูกโดยละเอียดค่ะ

• ฟันโยกมากจนเคี้ยวอาหารไม่สะดวก
• มีอาการปวดฟันตลอดเวลา หรือรู้สึกปวดตุบ ๆ
• เหงือกบวม แดง มีเลือดหรือหนองซึม
• ฟันดูยาวขึ้น เหงือกร่น หรือมีกลิ่นปากเรื้อรัง
• เคยผ่านการจัดฟัน ถอนฟัน หรือรักษารากฟัน แล้วพบว่าฟันเริ่มขยับได้

โดยการเข้ารับการตรวจตั้งแต่ระยะแรกเริ่มจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ฟันกลับมาแข็งแรงได้มากกว่า และยังช่วยลดโอกาสการสูญเสียฟันในระยะยาวอีกด้วยค่ะ

ปวดฟัน ฟันโยก รักษายังไงดี?

การรักษาฟันโยกขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริงค่ะ ทันตแพทย์จะต้องตรวจประเมินช่องปาก เหงือก และกระดูกโดยละเอียดก่อนวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งแนวทางหลัก ๆ ได้แก่

1. รักษาโรคเหงือกและโรคปริทันต์

หากอาการฟันโยกเกิดจากเหงือกอักเสบหรือโรคปริทันต์ การรักษาจะเน้นกำจัดเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ โดยการขูดหินปูนและเกลารากฟัน เพื่อทำความสะอาดคราบหินปูนและแบคทีเรียที่เกาะอยู่ใต้เหงือก และเมื่อเหงือกกลับมาแข็งแรง ฟันก็จะยึดแน่นขึ้นในระดับหนึ่ง และสามารถป้องกันไม่ให้โรคลุกลามได้ค่ะ

2. ปรับการสบฟันหรือใส่เฝือกสบฟัน (Bite Guard)

กรณีที่ฟันโยกเกิดจากแรงบดเคี้ยวหรือการนอนกัดฟัน ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ใส่เฝือกสบฟันตอนนอน เพื่อช่วยกระจายแรงกัดให้เท่ากันในทุกซี่ และลดแรงกดเฉพาะจุดที่ส่งผลให้ฟันโยก นอกจากนี้ยังอาจต้องปรับรูปทรงฟันบางซี่เพื่อให้การสบฟันสมดุลมากขึ้นค่ะ

3. รักษารากฟัน (Root Canal Treatment)

ในกรณีที่ฟันโยกจากการติดเชื้อที่โพรงประสาท การรักษารากฟันจะช่วยกำจัดเชื้อโรคภายในฟันและทำความสะอาดโพรงรากฟันให้ปราศจากการอักเสบ หลังจากนั้นจะบูรณะด้วยการอุดหรือครอบฟันเพื่อให้ฟันกลับมาใช้งานได้ตามปกติ ทั้งนี้หากทำการรักษาเร็ว ฟันสามารถคงอยู่ได้อีกหลายปีโดยไม่ต้องถอนค่ะ

4. ใส่เฝือกพยุงฟัน (Splinting)

เป็นวิธีพยุงฟันที่โยกให้กลับมามั่นคง โดยใช้เส้นลวดหรือวัสดุเฉพาะยึดฟันที่โยกกับฟันข้างเคียง เพื่อให้ฟันได้รับแรงพยุงและลดการเคลื่อนไหวขณะฟันอยู่ระหว่างการรักษา โดยวิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีฟันโยกเล็กน้อยถึงปานกลาง และยังสามารถรักษาฟันเดิมไว้ได้ค่ะ

5. ถอนฟันและใส่รากฟันเทียม (ในกรณีที่ฟันโยกมาก)

หากฟันโยกมากจนไม่สามารถรักษาได้ การถอนและใส่รากฟันเทียมจะเป็นทางเลือกที่ช่วยให้สามารถใช้งานฟันได้ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุดค่ะ การใส่รากฟันเทียมช่วยทดแทนรากฟันที่เสียไป และช่วยป้องกันการละลายของกระดูกในระยะยาว

โดยจากทุก ๆ วิธีที่กล่าวมา ทันตแพทย์จะพิจารณาเป็นกรณีไปว่าผู้ป่วยเหมาะกับการทำรากฟันเทียมหรือไม่ค่ะ

วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อฟันโยกหรือปวดฟัน

ในระหว่างรอพบหมอหรืออยู่ระหว่างการรักษา การดูแลตนเองอย่างถูกวิธีก็มีส่วนช่วยให้ฟันไม่โยกมากขึ้นและลดความเจ็บปวดได้ค่ะ โดยสามารถเริ่ม

1. หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เหนียว หรือกรอบ
2. แปรงฟันด้วยแปรงขนนุ่มและแปรงอย่างเบามือ
3. กลั้วปากด้วยน้ำเกลือหรือน้ำยาบ้วนปากสูตรอ่อนโยน
4. ห้ามโยกฟันเล่นหรือดันฟันเอง เพราะจะยิ่งทำให้ฟันหลวมมากขึ้น
5. เข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็กสาเหตุโดยเร็ว

การดูแลช่องปากอย่างถูกวิธีในช่วงที่มีอาการจะช่วยให้การรักษาเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดโอกาสการสูญเสียฟันในอนาคตค่ะ

ท้ายที่สุด สำหรับท่านใดที่กำลังมีอาการปวดฟันหรือฟันโยก ไม่ควรปล่อยไว้นาน เพราะปัญหานี้มักลุกลามได้อย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รู้ตัวค่ะ ที่ Toothluck Dental Clinic เรามีทีมทันตแพทย์เฉพาะทางด้านปริทันต์ จัดฟัน และทันตกรรมทั่วไป ที่พร้อมดูแลอย่างใกล้ชิด ด้วยเครื่องมือวิเคราะห์สุขภาพเหงือกและกระดูกที่ทันสมัย

หมอณัฐและทีมให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงของอาการฟันโยก เพื่อวางแผนรักษาให้เหมาะกับสภาพช่องปากของแต่ละบุคคล โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความสบายของคนไข้เป็นหลักค่ะ ดังนั้น ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าหากใครที่เริ่มรู้สึกว่าฟันโยกหรือมีอาการปวดฟัน ควรรีบเข้ามาปรึกษาทันตแพทย์เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลาม การดูแลตั้งแต่ระยะแรกเริ่มจะช่วยให้รักษาได้ง่ายกว่า และยังช่วยให้คุณกลับมามีสุขภาพช่องปากที่แข็งแรงและยิ้มได้อย่างมั่นใจอีกครั้งค่ะ

บทความที่น่าสนใจ

• จัดฟัน Invisalign คืออะไร แตกต่างจากการจัดฟันทั่วไปอย่างไร
• Invisalign Lite: จัดฟันเร่งด่วน ทำไมต้องใช้เครื่องมือชุดนี้
• Invisalign Moderate เหมาะกับใคร แก้ปัญหาฟันแบบไหนได้บ้าง

จัดฟันใสที่ไหนดี ทำไมต้อง Toothluck Dental Clinic

หากคุณมีปัญหาช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นฟันซ้อนฟันเก ฟันห่าง ฟันสบผิดปกติ หรือกำลังมองหาคลินิกสำหรับดูแลฟัน เรา Toothluck Dental Clinic เป็นคลินิกทันตกรรมสำหรับเด็กและทุกคนในครอบครัว เรามีทีมทันตแพทย์พร้อมให้บริการทันตกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจัดฟัน ถอนฟัน ผ่าฟันคุด ฟอกสีฟัน ขูดหินปูน อุดฟัน รักษารากฟัน รากฟันเทียม วีเนียร์ ฟันปลอม และบริการทันตกรรมสำหรับเด็ก มาพร้อมเครื่องมือที่ทันสมัย ได้มาตรฐาน และครบครัน ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก ๆ และชาวจังหวัดขอนแก่นอย่างแท้จริง

รีวิวจัดฟันกับ Tooth Luck dental clinic คลินิกทำฟัน จัดฟัน ขอนแก่น

@dr.nuttakul

รีวิวเคสจัดฟันใส ทำไมเลือก? ดีกว่ายังไง? #หมอณัฐคุณ #หมอฟัน #หมอฟันtiktok #คลินิกทันตกรรมทูธลักค์ #รักสุขภาพ #tiktokสายความรู้ #เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า #tiktokuni #ทําฟันขอนแก่น #จัดฟัน #จัดฟันใส #มากกว่า60วิ

♬ Cute song of fun scene – Yoshiki ARA

@dr.nuttakul

รีวิวเคส จัดฟันแก้รูปปาก 💗 #หมอณัฐคุณ #คลินิกทันตกรรมทูธลักค์ #toothluck #ทําฟันขอนแก่น #ทําฟันmrtแยกติวานนท์ #จัดฟัน #รักสุขภาพ #tiktokสายความรู้ #รู้จากtiktok #tiktokunit

♬ เสียงต้นฉบับ – Dr.Nuttakul, Dent – Dr.Nuttakul, Dent