บริการทำฟันปลอม ทำฟันปลอมทั้งปาก ฟันปลอมชนิดถอดได้ ทดแทนภาวะสูญเสียฟัน
การทำฟันปลอมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการทดแทนฟันที่สูญเสียไปค่ะ ฟันปลอมในปัจจุบันได้รับการพัฒนาให้มีความสวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ และให้ความสะดวกสบายในการใช้งานมากกว่าเมื่อก่อนมากฟันปลอมมีทั้งแบบติดแน่นและแบบถอดออกได้ แต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับสภาพช่องปาก จำนวนฟันที่หายไป และความเหมาะสมของคนไข้แต่ละคน

ฟันปลอม คืออะไร
ฟันปลอม หรือ Dentures คือฟันและเหงือกที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยทันตแพทย์เพื่อทดแทนฟันธรรมชาติที่หายไปค่ะ ฟันปลอมมีได้ทั้งซี่เดียว หลายซี่ หรือทั้งปาก บางชิ้นอาจมีแค่ส่วนของฟัน หรือบางชิ้นก็มีทั้งส่วนของฟันและเหงือกด้วยค่ะ
ใครเหมาะกับการทำฟันปลอม
การทำฟันปลอมเหมาะสำหรับหลายกลุ่มคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการสูญเสียฟันค่ะ โดยทั่วไปแล้ว คนที่เหมาะจะทำฟันปลอมมีดังนี้
- ผู้ที่สูญเสียฟันหลายซี่หรือทั้งปาก คนที่สูญเสียฟันไปหลายซี่จนทำให้เกิดปัญหาในการบดเคี้ยวอาหาร พูดไม่ชัด หรือมีผลกระทบต่อรูปใบหน้า การทำฟันปลอมจะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ค่ะ
- ผู้สูงอายุที่สูญเสียฟันตามวัย ผู้สูงอายุมักมีปัญหาฟันหลุดหรือต้องถอนฟันเนื่องจากโรคปริทันต์หรือฟันผุลุกลาม ฟันปลอมจะช่วยให้สามารถเคี้ยวอาหารได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อภาวะโภชนาการโดยรวม
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพช่องปากรุนแรงจนต้องถอนฟัน คนที่มีโรคปริทันต์รุนแรง ฟันผุลึก หรือการติดเชื้อที่รุนแรงจนไม่สามารถรักษาเพื่อเก็บฟันธรรมชาติไว้ได้ มักจำเป็นต้องถอนฟันและทำฟันปลอมทดแทน
- ผู้ที่ไม่สามารถทำรากฟันเทียมได้ บางคนไม่สามารถทำรากฟันเทียมได้เนื่องจากมีโรคประจำตัวบางอย่าง มีปริมาณกระดูกไม่เพียงพอ หรือมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ฟันปลอมจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
- ผู้ที่มีปัญหาฟันห่าง หรือฟันซ้อนเกมาก ในบางกรณีที่มีปัญหาฟันเรียงตัวไม่สวยงามมาก และไม่สามารถแก้ไขด้วยการจัดฟันได้ การถอนฟันบางส่วนและทำฟันปลอมอาจเป็นทางเลือกที่ช่วยให้มีรอยยิ้มที่สวยงามขึ้นได้
- ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุสูญเสียฟัน คนที่สูญเสียฟันจากอุบัติเหตุ หากไม่สามารถปลูกฟันกลับหรือทำรากฟันเทียมได้ ฟันปลอมก็เป็นทางเลือกที่ดีในการทดแทนฟันที่หายไป
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลือกทำฟันปลอมควรปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อประเมินสภาพช่องปาก พิจารณาข้อดีข้อเสียของการรักษาแต่ละแบบ และเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคนนะคะ บางกรณีอาจมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าฟันปลอม เช่น สะพานฟัน หรือรากฟันเทียม ซึ่งทันตแพทย์จะพิจารณาให้คำแนะนำที่เหมาะสมที่สุดค่ะ
ประเภทของฟันปลอม
ฟันปลอมมีหลายประเภท ซึ่งหมอจะสรุปให้ฟังง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
1. ฟันปลอมถอดได้เฉพาะซี่ (Partial Denture)
ฟันปลอมแบบนี้ทำมาเพื่อทดแทนฟันที่หายไปเพียงบางซี่ค่ะ เป็นแบบที่ถอดใส่ได้เอง ไม่ได้ติดแน่นในปาก คนไข้หลายคนชอบเพราะถอดมาล้างทำความสะอาดได้ง่าย แถมถ้าชำรุดก็ซ่อมแซมได้ไม่ยากค่ะ ส่วนใหญ่ทำจากฐานอะคริลิก (เป็นพลาสติกแข็งสีเหงือก) และมีตะขอโลหะสำหรับเกี่ยวยึดกับฟันธรรมชาติที่ยังเหลืออยู่ค่ะ บางแบบก็ทำเป็นโครงโลหะเพื่อเพิ่มความแข็งแรงทนทาน ส่วนตัวฟันปลอมทำจากเรซินหรือเซรามิกที่มีสีใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติของคนไข้ค่ะ
เหมาะกับคนไข้ที่สูญเสียฟันไปเพียงบางซี่ แต่ยังมีฟันธรรมชาติแข็งแรงเหลืออยู่บ้างค่ะ ดีสำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัด และไม่อยากผ่าตัดรากฟันเทียม หมอมีคนไข้หลายรายที่ใช้แบบนี้และพอใจมากเพราะราคาไม่แพงเกินไปและใช้งานได้ดีค่ะ
2. ฟันปลอมถอดได้ทั้งชิ้น (Complete Denture)
ฟันปลอมแบบเต็มปากที่ทดแทนฟันที่หายไปทั้งหมดค่ะ ทำเป็นชิ้นเดียวครอบคลุมทั้งสันเหงือกและเพดานปาก คนไข้สามารถถอดใส่ได้เอง ส่วนใหญ่ทำจากอะคริลิกสีเหงือกเป็นฐาน และฟันเทียมที่ทำจากเรซินหรือเซรามิกค่ะ บางรายอาจมีโครงโลหะเสริมด้านในเพื่อความแข็งแรง หรือใช้วัสดุนิ่มรองใต้ฐานเพื่อลดแรงกดบนเหงือกสำหรับคนไข้ที่มีเหงือกบางค่ะ
เหมาะสำหรับคนที่สูญเสียฟันไปทั้งหมดในขากรรไกรบน หรือล่าง หรือทั้งสองขากรรไกรค่ะ เป็นทางเลือกที่ราคาไม่แพงสำหรับคนไข้ที่ไม่สามารถทำรากฟันเทียมได้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์หรือข้อจำกัดด้านงบประมาณค่ะ หมอเคยทำให้คุณป้าอายุ 70 กว่า ท่านพอใจมากเพราะกลับมายิ้มได้อีกครั้งค่ะ
3. ฟันปลอมบนรากเทียม (Implant-Supported Denture)
เป็นฟันปลอมแบบถอดได้ที่ยึดติดกับรากฟันเทียมที่ฝังไว้ในกระดูกขากรรไกรค่ะ ทำให้มั่นคงกว่าแบบธรรมดามาก เวลาพูดหรือเคี้ยวก็ไม่ขยับเลื่อนเหมือนฟันปลอมแบบทั่วไป ตัวฟันปลอมทำจากอะคริลิกเช่นเดียวกับแบบทั่วไป แต่ด้านล่างจะมีอุปกรณ์พิเศษสำหรับล็อคกับหัวรากเทียมค่ะ ระบบล็อคมีหลายแบบ เช่น แบบกระดุมกด แบบรางโลหะ หรือแบบแม่เหล็ก
เหมาะกับคนไข้ที่ไม่มีฟันเลย หรือมีน้อยมาก และรู้สึกรำคาญกับฟันปลอมแบบธรรมดาที่มักหลุดหรือขยับค่ะ ต้องมีกระดูกขากรรไกรที่แข็งแรงเพียงพอสำหรับรองรับรากฟันเทียม หมอเคยทำให้คุณลุงท่านหนึ่งที่เคยใช้ฟันปลอมธรรมดาแล้วหลุดบ่อย หลังจากเปลี่ยนมาใช้แบบนี้ ท่านบอกว่ากินอาหารได้อร่อยขึ้นเยอะเลยค่ะ!
4. ฟันปลอมแบบทั่วไป (Conventional Denture)
เป็นฟันปลอมที่ทำหลังจากที่แผลถอนฟันหายสนิทและเหงือกยุบตัวเรียบร้อยแล้วค่ะ ซึ่งต้องรอประมาณ 2-3 เดือนหลังจากถอนฟันซี่สุดท้าย ทำจากอะคริลิกเป็นหลัก บางครั้งอาจเสริมด้วยโลหะเพื่อความแข็งแรงค่ะ และใช้ฟันเทียมสำเร็จรูปหรือทำขึ้นใหม่ให้เข้ากับสีผิวและบุคลิกของคนไข้
เหมาะสำหรับคนไข้ที่สามารถรอเหงือกหายและยุบตัวเรียบร้อยได้ค่ะ ได้ฟันปลอมที่พอดีกับเหงือกและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทนทาน ไม่ต้องปรับแก้บ่อย หมอมักแนะนำวิธีนี้ให้กับคนไข้ที่ต้องการความแม่นยำในการใช้งานระยะยาว แต่ก็ต้องทนอยู่ในสภาพไม่มีฟันระหว่างรอนะคะ
5. ฟันปลอมเทียม (Immediate Denture)
เป็นฟันปลอมที่ทำเตรียมไว้ก่อน แล้วใส่ทันทีหลังจากถอนฟันค่ะ คนไข้จะไม่ต้องอยู่ในสภาพไม่มีฟันเลยระหว่างรอเหงือกหาย วัสดุเหมือนกับฟันปลอมแบบทั่วไปค่ะ คือใช้อะคริลิกเป็นฐาน และมีฟันเทียมติดอยู่
เหมาะกับคนไข้ที่กังวลเรื่องบุคลิกภาพ ต้องพบปะผู้คน ไม่อยากให้ใครเห็นสภาพไม่มีฟันค่ะ หรือคนที่ทำงานที่ต้องพูดคุยกับลูกค้า ต้องออกงานสังคม หมอเคยทำให้คุณครูท่านหนึ่งที่ต้องสอนหนังสือ ท่านดีใจมากที่ไม่ต้องหยุดงานเพราะไม่มีฟัน สามารถไปสอนหนังสือได้ตามปกติเลยค่ะ
ข้อดีคือใส่ได้ทันที แต่จะต้องมาปรับแต่งหลายครั้งเมื่อเหงือกยุบตัวลงค่ะ
ทำฟันปลอมทั้งปาก กับ ทำฟันปลอมเฉพาะซี่ แตกต่างกันยังไง
หมอเห็นคนไข้หลายคนยังงงๆ เรื่องความแตกต่างระหว่างฟันปลอมทั้งปากกับฟันปลอมเฉพาะซี่ หมอเลยจะอธิบายให้ฟังอย่างง่ายๆ นะคะ:
ฟันปลอมทั้งปาก (Complete Denture):
- ใช้สำหรับคนที่สูญเสียฟันทั้งหมดในขากรรไกรบนหรือล่าง
- เป็นชิ้นงานขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมเหงือกทั้งหมด และในกรณีฟันบนจะครอบคลุมเพดานปากด้วย
- ยึดติดกับเหงือกด้วยแรงดูดและน้ำลาย ไม่มีตัวยึดที่ฟันเพราะไม่มีฟันเหลืออยู่เลย
- มักทำจากอะคริลิกทั้งชิ้น
หมอมีคนไข้สูงอายุท่านหนึ่งที่ต้องทำฟันปลอมทั้งปาก แรกๆ ท่านกังวลว่าจะใส่ไม่สบาย แต่หลังจากปรับตัว 2-3 สัปดาห์ ท่านบอกว่าทำให้สามารถยิ้มได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง และกินอาหารได้หลากหลายขึ้นค่ะ
ฟันปลอมเฉพาะซี่ (Partial Denture):
- ใช้สำหรับคนที่สูญเสียฟันเพียงบางซี่ แต่ยังมีฟันธรรมชาติเหลืออยู่
- มีขนาดเล็กกว่า ทดแทนเฉพาะซี่ฟันที่หายไป
- มีตะขอโลหะหรือตัวยึดพิเศษที่เกาะกับฟันธรรมชาติที่เหลืออยู่ ทำให้มั่นคงกว่า
- อาจมีโครงโลหะหรือทำจากอะคริลิกทั้งชิ้น หรือทำจากวัสดุยืดหยุ่น
เคสที่น่าสนใจของหมอคือคุณลูกค้าวัยทำงานที่สูญเสียฟันหน้า 2 ซี่จากอุบัติเหตุ การทำฟันปลอมเฉพาะซี่ช่วยให้เขากลับมามั่นใจในการพูดคุยกับลูกค้าได้อีกครั้ง โดยไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นค่ะ
ความแตกต่างหลักๆ ระหว่างสองแบบ:
- จำนวนฟันที่ทดแทน: ทั้งปาก vs บางซี่
- การยึดเกาะ: ฟันปลอมทั้งปากอาศัยแรงดูดกับเหงือก ส่วนฟันปลอมบางซี่ใช้ตะขอยึดกับฟันธรรมชาติ
- ความมั่นคง: ฟันปลอมเฉพาะซี่มักมั่นคงกว่าเพราะมีฟันจริงช่วยยึด
- การปรับตัว: คนไข้มักปรับตัวกับฟันปลอมเฉพาะซี่ได้เร็วกว่า
- การพูด: ฟันปลอมทั้งปากอาจมีผลต่อการพูดมากกว่าในช่วงแรก
- ราคา: ฟันปลอมเฉพาะซี่มักมีราคาถูกกว่าฟันปลอมทั้งปาก (แต่ขึ้นอยู่กับวัสดุและจำนวนซี่ด้วย)
การเลือกว่าจะทำแบบไหนขึ้นอยู่กับจำนวนฟันที่เหลืออยู่และสภาพของฟันธรรมชาติค่ะ หมอจะประเมินและแนะนำทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน บางรายอาจต้องทำฟันปลอมทั้งปากด้านบน แต่ทำแบบเฉพาะซี่ด้านล่างก็ได้ค่ะ
หากคุณกำลังพิจารณาทำฟันปลอม แนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์เพื่อประเมินสภาพช่องปากและเลือกวิธีที่เหมาะสมกับคุณที่สุดค่ะ


ขั้นตอนการทำฟันปลอมแบบทั่วไป
การทำฟันปลอมแบบทั่วไปมีขั้นตอนทั้งหมด 6 ขั้นตอนหลักๆ ค่ะ หมอจะอธิบายแต่ละขั้นตอนให้เข้าใจง่ายๆ นะคะ:
1. การพิมพ์ฟันครั้งแรก ขั้นตอนแรกเลยคือการพิมพ์ฟันเพื่อทำแบบจำลองค่ะ หมอจะใช้ถาดพิมพ์ปากใส่วัสดุพิมพ์ปากที่มีลักษณะคล้ายดินน้ำมัน ให้คนไข้อ้าปากแล้วกดลงไปบนฟันและเหงือก วัสดุนี้จะแข็งตัวภายในเวลาไม่กี่นาที แล้วดึงออกมาเพื่อนำไปทำแบบจำลองฟันค่ะ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ไม่เจ็บนะคะ แค่อาจรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยตอนอ้าปากค้างไว้
2. การพิมพ์ฟันอย่างละเอียด สำหรับคนไข้ที่ต้องทำฟันปลอมทั้งปาก หมอจะทำถาดพิมพ์ปากเฉพาะบุคคลจากแบบจำลองในขั้นตอนแรก แล้วพิมพ์ปากอีกครั้งอย่างละเอียดค่ะ วิธีนี้จะช่วยให้ได้แบบที่แม่นยำมากขึ้น โดยไม่ต้องรบกวนกล้ามเนื้อช่องปากคนไข้บ่อยๆ หมอเห็นคนไข้หลายคนกลัวขั้นตอนพิมพ์ปาก แต่จริงๆ แล้วใช้เวลาไม่นานและไม่น่ากลัวอย่างที่คิดนะคะ
3. การกำหนดตำแหน่งฟัน ขั้นตอนนี้สำคัญมากค่ะ หมอจะวัดและกำหนดว่าฟันแต่ละซี่ควรอยู่ตำแหน่งไหน สูงแค่ไหน เอียงมุมเท่าไร ให้ดูเป็นธรรมชาติและใช้งานได้ดี โดยใช้อุปกรณ์พิเศษวัดความสัมพันธ์ของขากรรไกรบนและล่าง หมอมักถามคนไข้ด้วยว่าเคยมีฟันธรรมชาติที่ชอบลักษณะอย่างไร จะได้ออกแบบให้ใกล้เคียงค่ะ
4. การลองวางฟันปลอม ขั้นตอนนี้สนุกมากค่ะ เพราะคนไข้จะได้เห็นภาพรวมของฟันปลอมก่อนทำชิ้นสุดท้าย หมอจะนำฟันที่เรียงไว้บนฐานขี้ผึ้งมาให้คนไข้ลองใส่ เพื่อตรวจสอบความสวยงาม การสบฟัน และความรู้สึกโดยรวม คนไข้สามารถบอกความต้องการเพิ่มเติมได้ในขั้นตอนนี้ เช่น อยากให้ฟันขาวขึ้นหรือเรียงให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น หมอเคยมีคนไข้ที่ดีใจมากจนร้องไห้ตอนได้เห็นรอยยิ้มของตัวเองในกระจกเลยค่ะ
5. การใส่ฟันปลอมและให้คำแนะนำ หลังจากทำฟันปลอมเสร็จสมบูรณ์ หมอจะนัดคนไข้มาใส่ฟันปลอม และให้คำแนะนำในการดูแลรักษาอย่างละเอียด เช่น วิธีใส่และถอด วิธีทำความสะอาด อาหารที่ควรระวัง รวมถึงวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นหากเกิดการเจ็บหรือระคายเคือง ช่วงแรกๆ อาจต้องใช้เวลาปรับตัวประมาณ 1-2 สัปดาห์นะคะ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่อาจรู้สึกเกะกะหรือน้ำลายมากกว่าปกติ
6. การติดตามผลหลังใส่ฟันปลอม หมอจะนัดคนไข้มาตรวจติดตามผลหลังจากใส่ฟันปลอมไปแล้ว 7-14 วันค่ะ เพื่อตรวจสอบว่ามีจุดไหนกดเจ็บ หรือต้องปรับแต่งเพิ่มเติมหรือไม่ บางคนอาจต้องมาปรับหลายครั้งในช่วงแรก แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ เป็นเรื่องปกติที่ต้องมีการปรับแต่งเพื่อให้สบายปากที่สุด
อาการที่อาจเกิดขึ้นได้หลังทำฟันปลอม
หลังจากได้รับฟันปลอมใหม่ คนไข้มักมีคำถามว่า “หมอคะ แล้วจะมีอาการอะไรบ้างมั้ย?” หมอเข้าใจความกังวลนี้ดีค่ะ และอยากอธิบายให้ทราบว่าอาการต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงแรกเป็นเรื่องปกติค่ะ
ในกรณีที่ต้องถอนฟันก่อนทำฟันปลอม แผลและเหงือกต้องใช้เวลาประมาณ 4 สัปดาห์หรือนานกว่านั้นในการสมานตัว ซึ่งระยะเวลาจะแตกต่างกันไปตามสุขภาพของแต่ละคนนะคะ บางคนที่มีสุขภาพแข็งแรงอาจหายเร็ว แต่บางคนที่เป็นเบาหวานหรือสูบบุหรี่อาจใช้เวลานานกว่า
หลังจากแผลหายดีและใส่ฟันปลอมแล้ว คนไข้ของหมอมักมีอาการเหล่านี้ในช่วงแรก ๆ คือ
- มีน้ำลายมากกว่าปกติ – ร่างกายเราจะหลั่งน้ำลายมากขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมในปาก แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ อาการนี้จะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ คนไข้ของหมอบางคนบอกว่าช่วงแรกต้องคอยกลืนน้ำลายบ่อยๆ แต่หลังจากนั้นก็เข้าสู่ภาวะปกติค่ะ
- รู้สึกลิ้นคับปาก – เมื่อมีฟันปลอมในปาก ลิ้นอาจรู้สึกว่ามีพื้นที่น้อยลง ทำให้รู้สึกเกะกะ ลิ้นจะค่อยๆ ปรับตัวและหาตำแหน่งที่เหมาะสมได้เองค่ะ
- รู้สึกระคายเคืองหรือเจ็บเล็กน้อย – อาจมีจุดกดเจ็บบริเวณที่ฟันปลอมกดทับเหงือก โดยเฉพาะเวลาเคี้ยวอาหาร ถ้ามีอาการเจ็บมากหรือมีแผลให้รีบมาพบหมอเพื่อปรับแต่งฟันปลอมนะคะ
- พูดไม่ชัด – ช่วงแรกอาจพูดไม่ชัดโดยเฉพาะเสียงบางเสียง เช่น “ส” หรือ “ฟ” เพราะลิ้นและริมฝีปากยังปรับตัวไม่ได้ หมอแนะนำให้ฝึกพูดออกเสียงต่างๆ หรืออ่านหนังสือออกเสียงทุกวัน จะช่วยให้ปรับตัวได้เร็วขึ้นค่ะ
- เคี้ยวอาหารลำบาก – ในช่วงแรก การเคี้ยวอาหารอาจไม่เป็นไปอย่างธรรมชาติ หมอแนะนำให้เริ่มจากอาหารอ่อนนุ่ม ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ และค่อยๆ เคี้ยวช้าๆ ค่ะ
สิ่งสำคัญที่หมออยากบอกคือ อาการเหล่านี้เป็นเรื่องปกติในช่วงแรกและจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อร่างกายปรับตัวเข้ากับฟันปลอมค่ะ โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ หากมีอาการปวดมาก มีแผล หรือรู้สึกไม่สบายอย่างมาก กรุณามาพบหมอเพื่อปรับแต่งฟันปลอมให้เหมาะสมนะคะ
เคล็ดลับจากหมอคือ ความอดทนในช่วงแรกจะช่วยให้คุณสามารถใช้ฟันปลอมได้อย่างมีความสุขในระยะยาวค่ะ!
การดูแลรักษาฟันปลอม
สามารถทำตามได้ง่าย ๆ ดังนี้
- ถอดฟันปลอมมาล้างด้วยสบู่อ่อน และใช้แปรงสีฟันขมนุ่มแปรงทำความสะอาดทุกวัน (กรณีฟันปลอมติดแน่น ให้ทำความสะอาดเหมือนฟันธรรมชาติ แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ)
- ห้ามล้างฟันปลอมด้วยน้ำร้อน เพราะจะทำให้เปลี่ยนรูปร่างได้
- ควรถอดฟันปลอมขณะนอนหลับ ให้เนื้อเยื่อโดยรอบได้พัก
- ช่วงแรกที่ใส่ฟันปลอมถ้าบวมหรือเจ็บเล็กน้อย ให้ผสมน้ำอุ่นกับเกลือแล้วกลั้วปากเช้าเย็น
- หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง หรือเหนียวมากๆ ช่วงแรกที่ยังปรับตัวคุณอาจตัดอาหารเป็นชิ้นเล็กๆ
- เมื่อทานอาหารที่มีสี หรือกลิ่นแรง ให้รีบถอดฟันปลอมเพื่อทำความสะอาดป้องกันติดสีหรือกลิ่น
- หากฟันปลอมหลวด หลุดบ่อย หรือใส่แล้วเจ็บมาก สันเหงือกมีแผลกดทับ ให้รีบกลับมาพบทันตแพทย์ของเรา

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ "การทำฟันปลอม"
ฟันปลอมสามารถเคี้ยวอาหารได้หรือไม่
ฟันปลอมสามารถเคี้ยวอาหารได้แน่นอนค่ะ! นั่นเป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของการทำฟันปลอมเลยค่ะ แต่ความสามารถในการเคี้ยวอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของฟันปลอม
ฟันปลอมบางซี่ (แบบถอดได้) สามารถเคี้ยวอาหารได้ค่อนข้างดี เพราะมีการยึดเกาะกับฟันธรรมชาติที่เหลืออยู่ ทำให้มั่นคงพอสมควร คนไข้ของหมอหลายคนบอกว่าสามารถเคี้ยวอาหารได้เกือบทุกชนิด ยกเว้นอาหารที่แข็งจัดหรือเหนียวมากๆ
ฟันปลอมทั้งปาก (แบบถอดได้) อาจมีข้อจำกัดมากกว่า เพราะยึดอยู่กับเหงือกด้วยแรงดูดเท่านั้น ประสิทธิภาพการเคี้ยวอาจลดลงประมาณ 30-40% เมื่อเทียบกับฟันธรรมชาติ ฟันปลอมทั้งปากด้านบนมักมั่นคงกว่าด้านล่าง เพราะมีเพดานปากช่วยในการยึดเกาะ
ฟันปลอมบนรากเทียม ให้ประสิทธิภาพในการเคี้ยวดีที่สุด ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด คนไข้ที่ใช้ฟันปลอมแบบนี้สามารถเคี้ยวอาหารได้เกือบทุกชนิด รวมถึงอาหารที่มีความแข็งปานกลาง เช่น แอปเปิล แครอท หรือเนื้อสัตว์ต่างๆ
ในช่วงแรกที่เพิ่งใส่ฟันปลอม หมอแนะนำให้เริ่มจากอาหารที่นุ่มและตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อน เช่น ปลานึ่ง ไข่ ผักต้มสุก ผลไม้นิ่มๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความแข็งของอาหารเมื่อคุ้นเคยมากขึ้น
เคล็ดลับในการเคี้ยวอาหารด้วยฟันปลอม:
- เคี้ยวอาหารทั้งสองข้างพร้อมกัน (ไม่เคี้ยวข้างเดียว) เพื่อป้องกันฟันปลอมเอียงหรือหลุด
- ตัดอาหารเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้เคี้ยวง่ายขึ้น
- หลีกเลี่ยงอาหารที่เหนียวมาก เช่น หมากฝรั่ง ลูกอม ทอฟฟี่
- ระวังอาหารที่มีเมล็ดเล็กๆ เช่น งา หรือข้าวโพด ซึ่งอาจเข้าไปติดใต้ฟันปลอมได้
หมอเคยมีคนไข้ท่านหนึ่งที่ทำฟันปลอมทั้งปากแบบยึดกับรากเทียม เมื่อก่อนท่านกินได้แต่อาหารอ่อนๆ แต่หลังจากได้ฟันปลอมชนิดนี้ ท่านสามารถกินผลไม้สดได้อีกครั้ง ท่านดีใจมากที่ได้กลับมาทานส้มโอซึ่งเป็นผลไม้โปรดที่ไม่ได้กินมาหลายปีค่ะ
ใส่ฟันปลอมเจ็บมั้ย
เรื่องนี้หมอถูกถามบ่อยมากเลยค่ะ คนไข้หลายคนกังวลเรื่องความเจ็บปวดก่อนตัดสินใจทำฟันปลอม
ในช่วงแรกของการใส่ฟันปลอม อาจมีความรู้สึกไม่สบายบ้าง แต่ไม่ถึงกับเจ็บปวดรุนแรงนะคะ หมอจะอธิบายความรู้สึกที่อาจเกิดขึ้นให้ฟังค่ะ:
ช่วงวันแรกๆ ที่ใส่ฟันปลอม คุณอาจรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในปาก ซึ่งเป็นเรื่องปกติค่ะ เพราะร่างกายยังไม่คุ้นเคยกับฟันปลอม บางคนอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยตรงจุดที่ฟันปลอมกดทับเหงือก โดยเฉพาะเวลาเคี้ยวอาหาร
หมอเคยมีคนไข้ที่เปรียบเทียบความรู้สึกว่าคล้ายกับตอนใส่รองเท้าใหม่ที่อาจกดเท้าบ้างในช่วงแรก แต่หลังจากใส่ไปสักพัก รองเท้าก็จะนิ่มและสบายขึ้น ฟันปลอมก็เช่นกันค่ะ
ถ้ามีจุดที่เจ็บมากผิดปกติ หรือมีแผลเกิดขึ้น ให้รีบกลับมาพบหมอนะคะ เพราะอาจต้องปรับแต่งฟันปลอมเพื่อไม่ให้กดเหงือกมากเกินไป การปรับแต่งฟันปลอมเป็นเรื่องปกติมากในช่วงแรก คนไข้บางคนอาจต้องมาปรับ 2-3 ครั้งกว่าจะสบายปาก
จากประสบการณ์ของหมอ คนไข้ส่วนใหญ่จะรู้สึกสบายขึ้นมากภายใน 2 สัปดาห์แรก และเมื่อเวลาผ่านไป 3-4 สัปดาห์ ความรู้สึกแปลกปลอมและไม่สบายต่างๆ จะหายไป คุณจะใช้ฟันปลอมได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นค่ะ
หมอมีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนไข้ที่เพิ่งเริ่มใส่ฟันปลอมใหม่ คือให้เริ่มจากอาหารที่อ่อนนุ่ม เคี้ยวง่ายก่อน แล้วค่อยๆ ปรับไปกินอาหารที่แข็งขึ้นตามลำดับ และที่สำคัญ อย่าลืมมาตามนัดเพื่อให้หมอปรับแต่งฟันปลอมให้พอดีกับปากของคุณนะคะ
การปรับตัวให้คุ้นเคยกับฟันปลอมของแต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากันค่ะ จากประสบการณ์ที่หมอดูแลคนไข้มา สามารถแบ่งช่วงเวลาการปรับตัวได้ประมาณนี้:
สัปดาห์แรก - เป็นช่วงที่ยากที่สุดค่ะ คนไข้มักรู้สึกว่าฟันปลอมเกะกะมาก มีน้ำลายเยอะ พูดไม่ชัด และอาจมีจุดเจ็บบ้าง หมอเคยมีคนไข้ท่านหนึ่งบอกว่ารู้สึกเหมือนมี "ของแปลกปลอมชิ้นใหญ่" อยู่ในปาก ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากค่ะ
สัปดาห์ที่ 2 - อาการต่างๆ จะเริ่มดีขึ้นค่ะ คนไข้เริ่มพูดชัดขึ้น น้ำลายลดลงเป็นปกติ และเริ่มรับประทานอาหารได้หลากหลายขึ้น ลิ้นเริ่มปรับตำแหน่งและไม่รู้สึกคับปากเท่าเดิม
สัปดาห์ที่ 3-4 - ส่วนใหญ่คนไข้จะเริ่มรู้สึกสบายกับฟันปลอมมากขึ้นแล้วค่ะ สามารถพูดได้ชัดเจน เคี้ยวอาหารได้ใกล้เคียงปกติ และบางคนถึงกับลืมไปว่ากำลังใส่ฟันปลอมอยู่
1-2 เดือน - คนไข้เกือบทั้งหมดจะปรับตัวได้สมบูรณ์ในช่วงนี้ค่ะ ใช้ฟันปลอมได้อย่างเป็นธรรมชาติ พูดคุยและรับประทานอาหารได้เกือบเหมือนใช้ฟันธรรมชาติ
ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาในการปรับตัวมีหลายอย่างค่ะ เช่น:
- อายุ - คนไข้สูงอายุมักใช้เวลาปรับตัวนานกว่า
- ประเภทของฟันปลอม - ฟันปลอมบางซี่ปรับตัวได้เร็วกว่าฟันปลอมทั้งปาก
- สภาพเหงือกและกระดูก - คนที่มีสันเหงือกดีจะปรับตัวได้เร็วกว่า
- ทัศนคติ - คนที่มีทัศนคติเชิงบวกและความอดทนมักปรับตัวได้เร็วกว่า
หมอมีเคล็ดลับช่วยให้ปรับตัวเร็วขึ้นค่ะ:
- ใส่ฟันปลอมต่อเนื่อง แม้จะรู้สึกไม่สบายในช่วงแรก (ยกเว้นตอนนอน)
- ฝึกอ่านออกเสียงเพื่อปรับการพูด
- เริ่มจากอาหารอ่อนนุ่ม แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอาหารที่เคี้ยวยากขึ้น
- แบ่งอาหารเป็นชิ้นเล็กๆ และเคี้ยวทั้งสองข้างพร้อมกัน
- มาพบหมอตามนัดเพื่อปรับแต่งฟันปลอมให้พอดี
คุณลุงคนไข้ของหมอท่านหนึ่งอายุ 75 ปี เคยบอกว่า "หมอครับ ตอนแรกผมคิดว่าจะใช้ไม่ได้เลย แต่พอผ่านไปเดือนกว่า ตอนนี้ผมกินข้าวได้อร่อยจนลืมว่าใส่ฟันปลอมซะอีก"
อย่าลืมนะคะว่า ความอดทนในช่วงแรกจะส่งผลให้คุณมีความสุขกับฟันปลอมในระยะยาวค่ะ!
ฟันปลอม อายุการใช้งานกี่ปี
อายุการใช้งานของฟันปลอมแต่ละประเภทแตกต่างกันไปค่ะ โดยทั่วไปฟันปลอมมีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี แต่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย หมอจะอธิบายแยกตามประเภทนะคะ:
ฟันปลอมถอดได้เฉพาะซี่ (Partial Denture)
- แบบโครงโลหะ: อายุการใช้งานประมาณ 7-10 ปี
- แบบอะคริลิก: อายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี
- แบบยืดหยุ่น: อายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี
ฟันปลอมทั้งปาก (Complete Denture)
- อายุการใช้งานโดยเฉลี่ย 5-7 ปี
- แบบมีฐานนิ่ม: อาจต้องเปลี่ยนฐานนิ่มทุก 1-2 ปี แต่ตัวฟันปลอมใช้ได้นาน 5-7 ปี
ฟันปลอมบนรากเทียม
- อายุการใช้งานประมาณ 8-15 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแล
- ส่วนของรากเทียมอาจอยู่ได้ตลอดชีวิตถ้าไม่มีปัญหา
หมอมีคนไข้หลายท่านที่ดูแลฟันปลอมเป็นอย่างดี จนใช้งานได้นานเกิน 10 ปีเลยค่ะ แต่ก็มีบางท่านที่ต้องทำใหม่เร็วกว่าเพราะการเปลี่ยนแปลงของเหงือกและกระดูก
ปัจจัยที่มีผลต่ออายุการใช้งานของฟันปลอม:
- การดูแลรักษา - ทำความสะอาดสม่ำเสมอจะช่วยยืดอายุการใช้งาน
- นิสัยการบดเคี้ยว - คนที่กัดฟันแรงหรือบดฟันตอนนอนอาจทำให้ฟันปลอมสึกเร็ว
- การเปลี่ยนแปลงของเหงือก - เมื่อเหงือกยุบตัวลง ฟันปลอมจะหลวมและไม่พอดี
- การปรับแต่งเป็นระยะ - การเติมฐานและปรับแต่งสม่ำเสมอช่วยยืดอายุการใช้งาน
- ชนิดของอาหาร - อาหารแข็งหรือเหนียวอาจทำให้ฟันปลอมเสียหายเร็วขึ้น
เคล็ดลับในการยืดอายุฟันปลอมที่หมอแนะนำคนไข้เสมอ:
- ถอดล้างทำความสะอาดทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร
- แช่ในน้ำยาทำความสะอาดเฉพาะเป็นประจำ
- ถอดฟันปลอมก่อนนอนเพื่อให้เหงือกได้พัก
- มาพบทันตแพทย์ปีละ 1-2 ครั้งเพื่อตรวจสอบและปรับแต่ง
- หลีกเลี่ยงการใช้ฟันปลอมกัดของแข็งจัด
หมอแนะนำให้เริ่มพิจารณาทำฟันปลอมใหม่เมื่อพบว่าฟันปลอมหลวม ไม่พอดี มีรอยร้าวหรือแตก หรือมีสีที่เปลี่ยนไปมากค่ะ
ใส่ฟันปลอม น่าอาย ไหม
ใส่ฟันปลอมไม่น่าอายเลยค่ะ! ในความเป็นจริง ฟันปลอมสมัยใหม่ถูกออกแบบมาให้สวยงามและเป็นธรรมชาติมากจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็นว่าคุณใส่ฟันปลอมอยู่
หมอมีคนไข้หลายคนที่กังวลเรื่องนี้ก่อนตัดสินใจทำฟันปลอม คุณลูกค้ารายหนึ่งเป็นพนักงานต้อนรับโรงแรม เธอกังวลว่าแขกจะสังเกตเห็นฟันปลอมขณะที่เธอพูดคุย แต่หลังจากได้ใส่ฟันปลอมที่ออกแบบมาอย่างดี เธอกลับได้รับคำชมเรื่องรอยยิ้มสวยจากแขกหลายคน โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเธอใส่ฟันปลอมอยู่!
ปัจจุบันเทคโนโลยีทางทันตกรรมก้าวหน้าไปมาก ฟันปลอมมีความสวยงามและเป็นธรรมชาติกว่าในอดีตมาก หมอสามารถเลือกสีและรูปร่างของฟันให้เข้ากับใบหน้า อายุ และบุคลิกของคุณได้อย่างกลมกลืน
จริงๆ แล้วสิ่งที่น่าอายกว่าคือการมีฟันที่ผุ เสียหาย หรือไม่มีฟันเลย ซึ่งอาจส่งผลต่อบุคลิกภาพและความมั่นใจ เมื่อเทียบกันแล้ว การมีฟันปลอมที่สวยงามทำให้คุณยิ้มได้อย่างมั่นใจ พูดได้ชัดเจน และเคี้ยวอาหารได้ดีขึ้น จึงไม่มีอะไรให้ต้องอายเลยค่ะ
นอกจากนี้ การใส่ฟันปลอมยังเป็นการดูแลสุขภาพช่องปากและป้องกันปัญหาในระยะยาว เช่น การเคลื่อนของฟันที่เหลือ หรือการสูญเสียมวลกระดูกขากรรไกร เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพตัวเองค่ะ
สุดท้ายนี้ หมออยากบอกว่า คนรอบตัวเรามักไม่ได้สังเกตเรื่องฟันปลอมมากอย่างที่เราคิด พวกเขาจะเห็นแค่รอยยิ้มที่สวยงามและความมั่นใจของคุณมากกว่าค่ะ!